อยากซื้อรถมือสองไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่หลาย ๆ คนอาจไม่เคยรู้มาก่อนก็คือ วิธีเช็กรถมือสอง เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่ารถยนต์เหล่านี้ผ่านการใช้งานมาแล้ว ย่อมต้องมีอาการสึกหรอ และก็มีอยู่ไม่น้อยเลยที่เคยโดนย้อมแมว แล้วมารู้ทีหลังว่ารถที่ได้มาเคยมีประวัติอะไรที่ไม่ดีมาก่อนบ้าง ทำให้หลายคนสงสัยว่า “ซื้อรถมือสองต้องดูอะไรบ้าง” วันนี้น้องเต็มใจจึงได้รวบรวมรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับวิธีเช็กและเลือกรถมือสองจากผู้เชี่ยวชาญของพวกเรา มีอะไรที่ต้องให้ความสำคัญไปบ้างไปดูกันเลย
รวมวิธีเช็กรถมือสอง กับจุดสำคัญที่ต้องดูอย่างละเอียด
แบ่งเป็นทั้งหมด 6 ประเด็น ที่ต้องให้ความสำคัญก่อนเลือกซื้อรถมือสองคันที่ถูกใจ
1. เช็กเอกสารรถยนต์ประวัติย้อนหลัง
อันดับแรก ต้องดูเอกสารที่เกี่ยวกับรถทั้งหมด ซึ่งจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด โดยเฉพาะตัวเล่มรถยนต์ควรดูให้ดีว่าเลขตัวถัง และเลขเครื่องยนต์ตรงกับที่แสดงในเล่มหรือไม่ ถัดมาย้อนดูในส่วนรายการบันทึกของเจ้าหน้าที่ว่ามีการบันทึกอะไรบ้าง เช่น ประวัติการเปลี่ยนเครื่องยนต์, การดัดแปลงตัวถัง, ประวัติการออกเล่มใหม่แทนเล่มเก่า (ในกรณีชำรุดหรือสูญหาย), รายชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อดูว่าเปลี่ยนมือมาแล้วกี่คน เป็นต้น
2. เช็กเลขไมล์บนหน้าปัด
วิธีเช็กไมล์รถมือสอง ข้อนี้สำคัญมาก ๆ เพราะเป็นหลักฐานที่ชี้วัดว่ารถคันนี้ผ่านการใช้งานมากขนาดไหน หากคุณกำลังสงสัยว่าเลขไมล์ดูไม่ค่อยสอดคล้องกับสภาพรถ แนะนำให้ลองดูตามอุปกรณ์ส่วนต่าง ๆ เช่น คันเร่ง, พวงมาลัย, แผงตามประตู, ความสกปรกของเครื่องยนต์ และ ความสัมพันธ์ของเลขไมล์น้อยกับวันที่จดทะเบียนรถ เป็นต้น
การกรอเลขไมล์แล้วมาหลอกขายมือสองมีโทษตามกฎหมายมาตรา 391 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ที่ทำผิดต้องถูกดำเนินคดีข้อหาหลอกลวงประชาชนด้วยการปกปิดความจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2549 มาตรา 343 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. เช็กสภาพตัวถังของรถ
ตัวถังของรถยนต์ส่วนแรกที่คุณจะได้เห็น ซึ่งส่วนใหญ่ก่อนที่รถคันดังกล่าวจะนำมาขายบางคันอาจอาจผ่านการซ่อมสีและตัวถังมาก่อนเพื่อปรับสภาพรถ วิธีเลือกรถมือสองในข้อนี้ แนะนำให้ลองสังเกตด้วยตามเปล่าดูก่อนว่ารูปทรงของตัวถังดูปกติดีมั้ย ช่องว่างระหว่างประตูและตัวถังเท่ากันหรือไม่ อีกสิ่งที่ต้องสังเกตให้ดีคือสีของตัวถัง เบื้องต้นให้ลองเคาะดูก่อนว่าเสียงเป็นยังไง หากรู้สึกว่าเสียงแน่น ๆ ทึบ ๆ และรู้สึกได้ว่าสีเป็นคลื่น ๆ ไม่เรียบเนียน เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่ารถคันนี้ผ่านการทำสีหลายชั้นเพื่อปกปิดร่องรอยที่มีปัญหา
4. เช็กตะเข็บรอบตัวถัง
ตะเข็บและอาร์กของตัวถัง คือ ส่วนที่มีการประกบและยึดติดระหว่างชิ้นส่วนของตัวถังและส่วนประกอบอื่น ๆ เข้าไว้ด้วยกัน จุดนี้หลายคนมักมองข้ามไปแต่ละส่วนจะมีการปกปิดด้วยซีลยาง ดังนี้
- คานหน้ารถ จุดนี้ให้สังเกตตัวนอตตามจุดต่าง ๆ ว่าถูกยึดครบทุกตัวหรือไม่ คานมีสีที่ดูใหม่กว่าส่วนอื่นรึเปล่า และสติกเกอร์แนะนำการใช้งานที่แปะมาจากศูนย์ยังอยู่ครบมั้ย
- แก้มทั้ง 2 ข้าง ต้องมีรอยนูนใกล้ ๆ ตะเข็บในระยะเท่ากันทั้ง 2 ข้าง
- ขอบประตูทุกบาน ส่วนนี้หลายคนไม่ค่อยสังเกตเพราะมีซีลยางขอบประตูปิดไว้ แนะนำให้ดึงซีลยางออกมาถ้าหากรอยอาร์กตามขอบยังอยู่ครบและมีความสม่ำเสมอถือว่าปกติ
- บริเวณท้ายรถใต้กระโปรงหลัง ต้องมีรอยอาร์กกับรอยนูนในระยะเท่ากันทั้ง 2 ข้าง และต้องไม่มีรอยไหนหายไปแม้แต่รอยเดียว
5. เช็กระบบส่งกำลังทั้งหมด
มี 3 ส่วนหลัก ๆ ที่จำเป็นต้องผ่านการตรวจเช็กดังนี้
เครื่องยนต์
การเช็กเครื่องยนต์ เบื้องต้นควรสังเกตตั้งแต่การเดินเครื่องว่าเป็นยังไง ถ้าเครื่องไม่นิ่งจะทำให้รอบเครื่องสะดุดตอบขับ ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำความเร็วได้ไม่สม่ำเสมอ ถัดมาให้สังเกตเสียงว่ามีอะไรที่ผิดแปลกไปจากรถทั่วไปมั้ย สีควันท่อไอเสียต้องใสไม่มีสีขาวหรือสีดำออกมา ซึ่งควันสีใสคือการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ที่สุด นอกจากนี้ยังมีรายการที่ต้องตรวจเช็กอีก เช่น
- รอยรั่วน้ำมันเครื่อง
- สภาพของหม้อน้ำ
- สภาพสายพานและสายเคเบิลต่าง ๆ
- สภาพขั้วแบตเตอรี่
- ระดับของเหลวทั่วหมด
เกียร์
ปัญหาของระบบเกียร์จะมีทั้งเกียร์กระตุก เกียร์ไม่เปลี่ยนรอบ เสียงเฟืองเกียร์หอน มากไปกว่านั้นในเกียร์ออโต้ยังมีอาการเข้าเกียร์ D แล้วรถไม่เดินหน้า ปัญหาเหล่านี้บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเกียร์ไม่สมบูรณ์ ซึ่งถ้าเกียร์พังขึ้นมาต้องเปลี่ยนอย่างเดียว และราคาเกียร์ลูกใหม่ค่อนข้างสูงไม่คุ้มกับราคารถที่จ่ายไป ดังนั้นวิธีเลือกรถมือสองในข้อนี้ แนะนำให้ลองเข้าเกียร์ให้ครบทั้งหมด และทดลองขับเพื่อสังเกตการเคลื่อนตัวของรถ ซึ่งจะต้องเร่งความเร็วที่สอดคล้องกับรอบเครื่อง ไม่มีอาการสะดุดหรือกระตุก
ช่วงล่าง
ปัญหาที่พบบ่อยคือเรื่องของเสียงในระหว่างขับ เช่น เสียงดังแกรก ๆ ในจังหวะเลี้ยว มีเสียงดังกุก ๆ ตอนขับในเส้นทางขรุขระ หรือรู้สึกถึงความย้วยทรงตัวไม่ดี อาการเหล่านี้คือปัญหาช่วงล่างเสื่อมสภาพ สามารถซ่อมเฉพาะจุดได้ไม่จำเป็นต้องรื้อเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด แต่ถ้าทดลองขับแล้วพบเสียงผิดปกติหรืออาการสั่นสะเทือนมาก ๆ หากนำไปซ่อมเองอาจจะต้องลงทุนพอสมควร ข้อนี้ต้องพิจารณาให้ดีว่าคุณพร้อมรับมือกับค่าใช้จ่ายหรือไม่ แนะนำว่าลองเปรียบเทียบกับรถคันอื่น ๆ ดูก่อนตัดสินใจเพื่อความคุ้มค่าในระยะยาว
6. เช็กระบบไฟและส่วนประกอบอื่น ๆ
สุดท้ายให้ลองเช็กอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบไฟฟ้าดูว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เช่น ไฟส่องสว่างคู่หน้า ไฟคู่ท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยว แอร์ต้องทำความเย็นได้ดีไม่มีกลิ่นอับ พวงมาลัยต้องหมุนได้รอบ ๆ ไม่ฝืดไม่ค้างและคืนตัวได้ และที่สำคัญต้องเช็กระบบล็อกรถด้วยว่ายังใช้งานได้ปกติรึเปล่า
มีวิธีเช็กรถมือสองอย่างไรว่าเคยจมน้ำมาก่อน
- ตรวจสอบกลิ่นอับชื้นภายในห้องโดยสาร เมื่อเปิดประตูรถ ให้สังเกตกลิ่นอับชื้นหรือกลิ่นเหม็นที่ผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณพรม เบาะนั่ง และเพดานรถ รถที่เคยจมน้ำมักมีกลิ่นอับชื้นฝังแน่น แม้จะทำความสะอาดแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ให้สังเกตคราบน้ำหรือเชื้อราตามซอกมุมต่าง ๆ รวมถึงความผิดปกติของสีพรมและเบาะที่อาจซีดจางไม่เท่ากัน
- ตรวจเช็กสนิมใต้ท้องรถและห้องเครื่อง ให้ยกรถขึ้นและตรวจสอบใต้ท้องรถอย่างละเอียด โดยเฉพาะบริเวณจุดต่อและรอยเชื่อมต่างๆ รถที่เคยจมน้ำมักมีคราบสนิมมากผิดปกติ ส่วนในห้องเครื่อง ให้สังเกตคราบสนิมตามข้อต่อ สายไฟ และอุปกรณ์โลหะต่างๆ รวมถึงดูว่ามีเศษดินหรือทรายสะสมตามซอกมุมหรือไม่
- ทดสอบระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ทดลองใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชิ้นในรถ ทั้งไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว เครื่องเสียง กระจกไฟฟ้า และแอร์ รถที่เคยจมน้ำมักมีปัญหาระบบไฟฟ้าทำงานผิดปกติ เช่น ไฟกะพริบ อุปกรณ์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือเสียงแอร์ดังผิดปกติ ควรทดสอบการทำงานซ้ำหลาย ๆ ครั้งเพื่อความแน่ใจ
- ตรวจสอบน้ำมันเครื่องและน้ำมันเกียร์ ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องและตรวจดูสีและความข้นของน้ำมัน หากพบว่ามีสีขุ่นคล้ายกาแฟเย็น หรือมีหยดน้ำปนอยู่ แสดงว่าอาจมีน้ำเข้าไปในเครื่องยนต์ ส่วนน้ำมันเกียร์ก็เช่นกัน ให้ตรวจสอบสีและความข้น หากผิดปกติอาจเป็นสัญญาณว่ารถเคยจมน้ำมาก่อน
- ขอประวัติการซ่อมและเอกสารยืนยัน สอบถามประวัติการซ่อมบำรุงจากผู้ขายอย่างละเอียด โดยขอดูสมุดบันทึกการซ่อมบำรุง ใบเสร็จค่าซ่อม และเอกสารการรับรองสภาพรถ นอกจากนี้ควรตรวจสอบประวัติทะเบียนรถกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อดูว่าเคยมีประวัติอุบัติเหตุหรือการโอนเปลี่ยนมือผิดปกติหรือไม่
วิธีตรวจเช็กรถมือสองโดยโตโยต้าชัวร์
การวิธีเช็กรถมือสองจากโตโยต้า ชัวร์ ตามมาตรฐาน Toyota Vehicle Inspection (TVI) ถึงมากกว่า 280 จุด จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้
1. การตรวจสอบประวัติรถ (Vehicle History)
ก่อนที่จะเริ่มการตรวจสอบสภาพรถยนต์ เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบประวัติของรถคันดังกล่าวอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่ารถยนต์มีที่มาที่ไปที่โปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งประกอบไปด้วย
การตรวจสอบเอกสาร เช็กเล่มทะเบียนรถยนต์, ประวัติการเข้าศูนย์บริการ, และเอกสารสำคัญอื่น ๆ
การตรวจสอบว่าไม่ใช่รถที่ผ่านการชนหนัก เช็กประวัติการเคลมประกัน และตรวจสอบโครงสร้างตัวถังหลัก
การตรวจสอบว่าไม่ใช่รถที่จมน้ำ มีกระบวนการตรวจสอบร่องรอยความเสียหายจากน้ำท่วมโดยเฉพาะ
การตรวจสอบว่าไม่ใช่รถที่เกิดไฟไหม้ ตรวจสอบร่องรอยความเสียหายจากอัคคีภัย
การตรวจสอบการตัดต่อตัวถัง เช็กหมายเลขตัวถังและร่องรอยการดัดแปลงที่ผิดกฎหมาย
การตรวจสอบเลขไมล์ ตรวจสอบว่าไม่มีการปรับแก้เลขไมล์ (กรอไมล์)
2. การตรวจสอบภายนอกและโครงสร้าง (Exterior and Structure)
เป็นการตรวจสอบสภาพโดยรวมของตัวรถภายนอกและความสมบูรณ์ของโครงสร้าง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัย
โครงสร้างตัวถัง ตรวจสอบอย่างละเอียดตั้งแต่ ด้านหน้า, ด้านข้าง (ซ้าย-ขวา), และด้านหลังของรถยนต์ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการชนหนักที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างหลัก
ความสวยงามของสี ใช้เครื่องมือวัดความหนาของชั้นสี (Coating Thickness Gauge) เพื่อตรวจสอบว่าชิ้นส่วนใดเคยผ่านการทำสีมาแล้วหรือไม่ และมีความหนาของสีอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่
ชิ้นส่วนภายนอก ตรวจเช็กสภาพของประตู, ฝากระโปรงหน้า-หลัง, กันชน, กระจก, และอุปกรณ์ภายนอกอื่น ๆ ว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งานหรือไม่
3. การตรวจสอบภายในและระบบการทำงาน (Interior and Systems)
ส่วนสุดท้ายเป็นการตรวจสอบรายละเอียดภายในห้องโดยสารและระบบการทำงานต่าง ๆ ของรถยนต์ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกระบบสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์
ภายในห้องโดยสาร ตรวจเช็กสภาพเบาะ, คอนโซล, แผงประตู, เพดาน, และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง ตรวจสอบการทำงานของเครื่องยนต์, เกียร์, และระบบหล่อเย็นอย่างละเอียด
ช่วงล่างและระบบเบรก ตรวจสอบการทำงานของโช้คอัพ, ลูกหมาก, ระบบเบรก, และความสมบูรณ์ของยาง
ระบบไฟฟ้า ตรวจเช็กการทำงานของระบบไฟส่องสว่าง, ระบบปรับอากาศ, เครื่องเสียง, และระบบไฟฟ้าอื่นๆ ทั้งหมด
หลังจากผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดทั้ง 280 จุดแล้ว รถยนต์จะได้รับการ "ปรับสภาพ" (Refurbishment) ให้กลับมามีสภาพใกล้เคียงกับรถใหม่มากที่สุด และจะได้รับการรับรองคุณภาพ (Certification) จากโตโยต้า ชัวร์ ก่อนที่จะนำออกจำหน่ายต่อไป ช่วยให้ทุกคนมั่นใจไม่ต้องกังวลกับวิธีเลือกรถมือสองด้วยตัวเองอีกต่อไป
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีเช็กรถมือสอง
จุดไหนบ้างในห้องเครื่องที่คนดูรถไม่เป็นก็สามารถเช็กเบื้องต้นได้
การเปิดฝากระโปรงอาจดูน่ากลัวสำหรับมือใหม่ แต่จริงๆ แล้วมีจุดสังเกตง่าย ๆ ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของวิธีเช็กรถมือสอง ซึ่งคุณสามารถตรวจเช็กเองได้ ดังนี้
- ระดับและสีของน้ำมันเครื่อง ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาดูระดับว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ และสีของน้ำมันเครื่องต้องไม่ดำสนิทหรือมีลักษณะเหมือนโคลน
- หม้อน้ำและน้ำยาหล่อเย็น ตรวจดูระดับน้ำยาหล่อเย็นในถังพัก ควรอยู่ในระดับที่กำหนด และสังเกตคราบสนิมหรือการรั่วซึมบริเวณท่อยางต่าง ๆ (ข้อควรระวัง: ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำขณะเครื่องร้อน)
- สภาพแบตเตอรี่ ดูขั้วแบตเตอรี่ว่ามีคราบขี้เกลือเกาะหรือไม่ และสังเกต "ตาแมว" บนแบตเตอรี่ (ถ้ามี) เพื่อดูสถานะไฟเบื้องต้น
- รอยรั่วซึม ก้มมองใต้เครื่องยนต์และสังเกตตามจุดต่าง ๆ ว่ามีคราบน้ำมันหรือของเหลวอื่น ๆ หยดลงบนพื้นหรือไม่
- สายพาน สังเกตดูว่าสายพานมีรอยแตกหรือรอยฉีกขาดหรือไม่
- เสียงเครื่องยนต์ ลองสตาร์ตเครื่องแล้วฟังเสียงในขณะที่รถจอดนิ่ง เครื่องยนต์ที่ดีควรเดินเรียบ ไม่มีเสียงดังผิดปกติ หรือเสียงเหล็กกระทบกัน
ตอนทดลองขับ (Test Drive) รถมือสอง ต้องสังเกตอะไรเป็นพิเศษ
การทดลองขับคือหัวใจสำคัญของ วิธีเลือกรถมือสองและเป็นขั้นตอนที่บอกได้ว่าซื้อรถมือสองต้องดูอะไรบ้าง ในเชิงสมรรถนะ เพื่อให้การตรวจสภาพรถมือสองของคุณสมบูรณ์ที่สุด ควรสังเกตสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้
- การตอบสนองของเครื่องยนต์ ลองเหยียบคันเร่งในหลาย ๆ ระดับ สังเกตว่าอัตราเร่งราบรื่นดีหรือไม่ มีอาการสะดุด กระตุก หรือกำลังตกหรือไม่
- ระบบเกียร์ ไม่ว่าจะเป็นเกียร์ออโต้หรือเกียร์ธรรมดา การเปลี่ยนเกียร์ต้องนุ่มนวล ไม่กระชาก สำหรับเกียร์ออโต้ต้องไม่มีอาการรอรอบนานผิดปกติ
- ระบบเบรก ทดลองเบรกที่ความเร็วต่ำและปานกลาง รถควรจะหยุดได้ตรง ไม่ปัดไปทางซ้ายหรือขวา และต้องไม่มีเสียงดังผิดปกติ
- พวงมาลัยและศูนย์ถ่วง ขณะขับทางตรง ลองปล่อยมือจากพวงมาลัยเล็กน้อย (ในที่ปลอดภัย) รถควรวิ่งตรง ไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง และพวงมาลัยต้องไม่มีอาการสั่นที่ความเร็วสูง
- ช่วงล่าง พยายามขับผ่านลูกระนาดหรือถนนที่ไม่เรียบ เพื่อฟังเสียงช่วงล่าง ต้องไม่มีเสียงดังกุกกัก หรือเสียงเหล็กกระแทกกัน
- ระบบไฟฟ้าและแอร์ เปิดใช้งานทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เช่น แอร์, วิทยุ, ที่ปัดน้ำฝน, ไฟหน้า-ไฟเลี้ยว เพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้ครบถ้วน
จะตรวจสอบได้อย่างไรว่ารถคันนี้ยังติดไฟแนนซ์อยู่หรือไม่
สิ่งสำคัญที่สุดในการตรวจเอกสารรถมือสองคือการขอดู "เล่มทะเบียนรถยนต์ตัวจริง" เท่านั้น (ไม่รับสำเนา) จากนั้นให้เปิดดูหน้า "รายการผู้ถือกรรมสิทธิ์"
- ถ้าชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็น "ชื่อบุคคล" (ผู้ขาย) แสดงว่ารถปลอดภาระแล้ว สามารถโอนลอยหรือไปโอนที่กรมขนส่งฯ ได้เลย
- ถ้าชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็น "ชื่อบริษัทไฟแนนซ์" แสดงว่ารถยังติดภาระผ่อนชำระอยู่ ผู้ซื้อจะต้องให้ผู้ขายจัดการปิดบัญชีกับไฟแนนซ์ให้เรียบร้อย และต้องได้รับ "ชุดเอกสารโอนกรรมสิทธิ์" จากทางไฟแนนซ์มายืนยันก่อนชำระเงิน การตรวจสอบนี้ยังช่วยในการ ตรวจประวัติรถมือสอง เบื้องต้นได้อีกด้วย
ซื้อรถมือสองมาแล้วต้องทำอะไรต่อบ้าง มีค่าใช้จ่ายอะไรแฝงอีกหรือไม่?
หลังจากที่คุณเจอรถที่ใช่และจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ยังมีขั้นตอนและค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมตัวเพื่อให้การซื้อขายสมบูรณ์และใช้งานรถได้อย่างสบายใจ ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะช่วยให้คุณเลือกรถมือสองไม่โดนย้อมแมวในเรื่องค่าใช้จ่ายแฝง
ขั้นตอนที่ต้องทำหลังการซื้อ
- โอนกรรมสิทธิ์ ดำเนินการโอนรถให้เป็นชื่อของคุณที่กรมการขนส่งทางบกให้เร็วที่สุด
- ทำประกันภัย หากรถไม่มีประกัน หรือประกันเดิมใกล้หมด ควรทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (ชั้น 1, 2+, 3+) เพื่อความอุ่นใจ
- เข้าศูนย์หรืออู่เพื่อเช็กระยะ นำรถไปถ่ายของเหลวทั้งหมด (น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, น้ำยาหล่อเย็น), ตรวจเช็กไส้กรองต่าง ๆ และระบบเบรก เพื่อเริ่มต้นการบำรุงรักษาใหม่
ค่าใช้จ่ายแฝงที่ควรเตรียม
- ค่าโอนกรรมสิทธิ์ อัตราอากรแสตมป์ตามที่กฎหมายกำหนด
- ค่าเบี้ยประกันภัย ราคาแตกต่างกันไปตามประเภทและทุนประกัน
- ค่าบำรุงรักษาครั้งแรก (First Service) ควรเตรียมงบประมาณไว้หลายพันบาทสำหรับการเปลี่ยนถ่ายของเหลวและอะไหล่สิ้นเปลือง
- ค่ายางรถยนต์ หากยางที่ติดมากับรถมีสภาพเก่าหรือหมดอายุ ควรเปลี่ยนใหม่เพื่อความปลอดภัย (อาจมีค่าใช้จ่ายหลักหมื่น)
- ค่าภาษีรถยนต์ประจำปี หากใกล้ถึงกำหนดชำระ ก็ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย
หากสนใจ ซื้อขายรถยนต์มือสองคุณภาพดี ต้องมาที่
โตโยต้าชัวร์ แก่นนคร โทร 043-465-5555
หรือ โตโยต้าแก่นนคร สำนักงานใหญ่ โทร 043-333-444
สำหรับติดต่อช่องทางออนไลน์ทักมาที่เพจ Facebook Toyotakaennakorn หรือ Add LINE @TOYOTAKAENNAKORN หรือ นัดหมายออนไลน์ คลิกเลย
ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก Toyota Sure
